การแพทย์ดิจิทัล


เทคโนโลยีที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด จะเข้ามาช่วยส่งเสริมการเข้าถึงการรักษา การพัฒนา software หรือ application ต่าง ๆ นอกจากจะช่วยแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว ยังสามารถนำมาช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ห่างไกลหรือขาดแคลนแพทย์ในพื้นที่ได้อีกด้วย 

ตัวอย่างนวัตกรรมที่ได้เกิดขึ้นแล้ว:

  • Smart Watch: เทคโนโลยีที่มีศักยภาพมากมายในเครื่องที่มีขนาดเล็กพกพาง่าย เหมือนใส่นาฬิกาข้อมือ ซึ่งนอกจากเราจะสามารถคุยโทรศัพท์ หรือ ฟังเพลงผ่านนาฬิกาข้อมือนี้ได้แล้วนั้น ยังสามารถ track การเต้นของหัวใจ และ location ของคุณหรือคนที่คุณรักได้อีกด้วย ซึ่งนวัตกรรมนี้ทำให้สามารถติดตามผู้ป่วยได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 
  • Pear Therapeutics reSET technology: เทคโนโลยีการบำบัดพฤติกรรม 12 สัปดาห์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น technology-based treatment สำหรับผู้ป่วยที่ป่วยจาก Opioid Use Disorder เพื่อเพิ่ม engagement ในผู้บำบัด
  • Luminopia: startup ที่ก่อตั้ง VR application เพื่อช่วยรักษาโรค amblyopia หรือ โรคตาขี้เกียจ ในเด็ก โดยการพัฒนาเทคโนโลยีผ่านการใช้ VR headset เพื่อช่วยบำบัดเด็กที่ป่วยจากโรคตาขี้เกียจ ทำให้สามารถบำบัดได้จากที่บ้าน ช่วยลดเวลาในการบำบัด และเพิ่มความสะดวกสบาย

แน่นอนว่า ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ถูกผลิตออกมาอีกมากมายเพื่อพัฒนาการรักษาทางการแพทย์ให้สามารถช่วยผู้ป่วยห่างไกลได้มากขึ้น

เครื่องมือดิจิทัลทางการแพทย์

ในปัจจุบันประชาชนไทยแทบจะทุกคนมีโทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องมือสื่อสารประจำกาย การเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานบางอย่างด้วยวิธีการติดตั้งแอปพลิเคชั่นเพิ่มขึ้นจึงเป็นง่ายที่สุดที่จะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเครื่องมือช่วยเหลือทางการแพทย์จำนวนไม่น้อยได้ ซึ่งไม่เพียงแค่แอปพลิเคชันเท่านั้นที่สร้างความเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ (IoT (Internet of Thing) หรือ อุปกรณ์ติดตามตัว (wearable) และเครือข่ายการสื่อสารต่างๆ เข้าด้วยกัน วงการแพทย์ได้เรียกเทคโนโลยีนี้ว่า “Digital Health” ซึ่งเป็นการสร้างการเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพเข้ามาระหว่างกัน นำมาแสดงผลและประมวลเพื่อให้เกิดประโยชน์ด้านสุขภาพสูงสุด


จากข้อมูลโดย IQVIA ในปี 2017 พบว่า ในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันด้านสุขภาพกว่า 318,000 แอปพลิเคชั่น กว่าร้อยละ 56 เป็นภาษาอังกฤษแต่เพียงอย่างเดียว (ซึ่งค่อนข้างจะลำบากในการนำมาใช้กับประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่นประเทศไทย) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังคงมีช่องว่างอีกไม่น้อยสำหรับผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่นในประเทศไทย

อย่างไรก็ดี ในบรรดาแอปพลิเคชันด้านสุขภาพดังกล่าว มีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้น ที่มียอด download มากกว่า 5,000 ครั้ง ซึ่งมีเพียง 41 แอปฯ เท่านั้นที่มียอด download เกิน 10 ล้านครั้ง ซึ่งทำให้เห็นว่า การสร้างแอปแล้วยืนอยู่ได้ในระดับโลกนั้นไม่ง่ายเลย โดยแอปพลิเคชันส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ในหมวดหมู่ “Wellness Management” หรือ การจัดการดูแลสุขภาพ เช่น ใช้เพื่อการออกกำลังกาย การจัดการอาหาร การจัดการความเครียด ในขณะที่หมวดหมู่ “Health Condition Managment” หรือ แอปพลิเคชันที่ช่วยจัดการโรคเช่น แอปฯ สำหรับโรคเฉพาะ เช่น ปัญหาจิตใจ เบาหวาน ปัญหาโรคหลอดเลือดหัวใจ ระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ มะเร็ง เตือนการทานยา ฯลฯ ก็มีอัตราการเติมโตที่สูงมากในช่วงสองสามปีนี้

ทั้งนี้การนำอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable/ Sensor) มาใช้ร่วมกันกับแอปพลิเคชั่นในมือถือ ก็ทำให้เพิ่มช่องทางการเก็บข้อมูลสุขภาพและสัญญาณชีพต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การเก็บการเคลื่อนไหว ทำให้สามารถเก็บ จำนวนก้าว, ระยะเวลาออกกำลังกาย, เวลานอนได้ การเพิ่มเซนเซอร์พิเศษบางชนิดทำให้สามารถเก็บอัตราการเต้นของหัวใจ, ความดัน, ความเข้มข้นออกซิเจน (SpO2), ปริมาณไขมันในร่างกาย, อุณหภูมิผิวหนัง (SKT), ระดับความเครียด (EDA) ได้ การใช้กล้องของมือถือ หรือ เพิ่มกล้อง ทำให้สามารถตรวจจับการกินยาของคนไข้ เพื่อยืนยันถึงการกินยา (Adherent) ของคนไข้ได้ การใช้กล้องคู่กับแฟลชทำให้สามารถตรวจจับชีพจร, จังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติได้ (atrial fibrillation) การเพิ่ม Gyroscope เข้าไปในอุปกรณ์ ทำให้สามารถตรวจการล้มของผู้สวมใส่ได้ (ยกตัวอย่างเช่นที่ apple watch นำมาใส่และสามารถตั้งเตือนการตอบสนองได้และเรียกรถพยาบาลจากโรงพยาบาลที่ตั้งค่าไว้ก่อนแล้วได้) นอกจากนั้นยังสามารถใช้คู่กับอุปกรณ์เชื่อมต่อเพิ่มเติมที่ได้รับอนุมัติจาก FDA ในกลุ่ม Digital Sensors ต่างๆ ซึ่งใช้เปลี่ยนเครื่องมือทางการแพทย์ธรรมดาให้กลายเป็น smart device เช่น เครื่องพ่นยาหอบหืด (Inhalers) , ปากกาฉีดอินซูลิน ซึ่งนำไปสู่การพัฒนา Digital Biomarkers ที่ใช้ติดตามผลลัพธ์ในการรักษาได้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม